5 สัญญาณที่พบบ่อยของการตื่นรู้ความเป็นจิตวิญญาณ
- Better Call Nika
- 1 เม.ย. 2565
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 30 ก.ค. 2566
(5 Signs often happen on the spiritual awakening journey)

การตื่นรู้ของจิตวิญญาณเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย ในช่วงเวลาชีวิตของแต่ละบุคคล ซึ่งในช่วงเวลาเหล่านี้เข้ามาสัมผัสคุณแล้ว แต่บางครั้งคุณไม่สามารถที่จะให้คำตอบกับตัวเองได้ว่าสัญญาณนี้คุณได้แรกเริ่มเข้ามาสัมผัสถึงการตื่นรู้ความเป็นจิตวิญญาณ (Spiritual awakening journey) และจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง ถ้าหากคุณอนุญาต ให้ตัวคุณเอง อยู่กับห้วงเวลาแห่งพลังความรู้สึกของการตื่นรู้ความเป็นจิตวิญญาณ

บทความนี้ผู้เขียนมีแรงบันดาลใจ และตระหนักถึงการตื่นรู้ของความเป็นจิตวิญญาณสม่ำเสมอและต้องการให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงเส้นทางของการตื่นรู้ของจิตวิญญาณ นำไปปรับและเติมเต็มให้กับตัวเองในการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ในช่วงเวลาต่างๆ มันเป็นการยากที่จะให้ตัวเองรับรู้อย่างลึกซึ้งถึงความเป็นจิตวิญญาณในทันทีในสภาวะแวดล้อมของแต่ละคนแตกต่างกัน
ระหว่างธรรมชาติกับยุคสมัยที่รายล้อมไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ที่เป็นทางเลือกให้ชีวิตและมีอิทธิพลกับหลายหลายคนเช่นกัน แต่หากคุณปลดปล่อยพลังความรู้สึก คุณอาจจะเป็นสัญญาณบางอย่างสำแดงให้คุณเห็นก็เป็นได้ และบทความนี้ ผู้เขียนได้ศึกษาและค้นคว้า จากเว็บไซต์ต่างๆ

ได้สรุปถึงสัญญาณที่แสดงถึงการตื่นรู้และพบเห็นบ่อย ที่จะให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากขึ้น เป็นแนวทางและได้รับรู้ถึงพลังความรู้สึกส่วนลึกภายในตัวคุณ ที่คุณยังไม่แสดงตัวตนอันแท้จริงของคุณออกมา หากคุณพร้อมและยินดี ที่จะเข้าไปสัมผัสโดยปราศจากเงื่อนไขแล้ว การตื่นรู้ของคุณจะเริ่มขึ้นโดยทันที

1.ความรู้สึกเหมือนโดดเดี่ยว (Alone)
“Spiritual awakenings are no easy undertaking, and while there’s hope for enlightenment on the other side, it can feel very lonely, as Kaiser explains. It’s isolating to have your whole life flipped upside down, especially if the other people in your life aren’t quite on the same wave.”
“การปลุกให้ตื่นขึ้นทางวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย และในขณะที่มีความหวังสำหรับการตรัสรู้ในอีกด้านหนึ่ง แต่ก็สามารถรู้สึกโดดเดี่ยวมาก ดังที่ Kaiser อธิบาย การที่ชีวิตทั้งชีวิตของคุณพลิกกลับเป็นเรื่องโดดเดี่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนอื่นๆ ในชีวิตของคุณไม่ได้อยู่บนคลื่นเดียวกัน”

ท่ามกลางการดำรงอยู่ของมนุษย์ ในยุคปัจจุบัน เรารายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและสื่อต่างๆ โดยเฉพาะคอนเทนต์ต่างๆ ที่คอยดึงดูดความสนใจคุณให้โน้มเอียงไปยังโลกเสมือนจริงที่มนุษย์สร้างขึ้น การใช้ชีวิตที่ต้องเร่งรีบในแต่ละวัน แต่ละนาที ชั่วโมง หรือในหนึ่งวัน คุณอนุญาตให้เวลาของคุณหมดไปกับสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ แต่แล้ววันหนึ่งคุณเผชิญกับช่วงเวลาหนึ่งของตัวเอง คุณรู้สึกอยากเปลี่ยนเพื่อต้องการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของคุณ เป้าหมายในชีวิตที่คุณความปรารถนาอย่างแท้จริง

คำว่า แท้จริง เหมือนดั่ง พลังความรู้สึกลึกๆภายในจิตของคุณนั่นเอง หากคุณต้องการปลี่ยนหรือพักในช่วงเวลาที่คุณรู้สึกทุกข์ คุณต้องกลับมาอยู่จุดเดิมคือ ความสงบ โดยโน้มน้าวคุณเข้าไปในความเป็นจิตวิญญาณเป็นการคงอยู่กับโลกแห่งธรรมชาติที่เป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมถึงมนุษย์ ที่จะเยียวยาตัวคุณ
เมื่อคุณเปลี่ยนในขณะที่คนส่วนใหญ่ไล่ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง คุณจะรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ความโดดเดี่ยวของคุณเป็นแค่ชั่วขณะเวลาของการปรับสภาวะจิตใจ ส่วนลึกภายในตัวคุณเพื่อที่จะให้ชีวิตคุณ เดินทางไปตามเส้นทางความปรารถนาอย่างแรงกล้าของคุณที่คุณยินดีและมีความสุขตลอดการเดินทางของชีวิตตัวเอง

2.อยากทำความรู้จักตัวเองมากขึ้น
“You’re not satisfied with ‘that’s just the way the world works’. You can see beyond that narrow thinking. You start to ask deep philosophical questions such as ‘Why are we here?’, ‘what is the purpose of our existence?’. You become a truth and knowledge seeker.”
“คุณไม่พอใจกับที่ว่า ‘นั่นเป็นเพียงวิธีการทำงานของโลก’ คุณสามารถมองเห็นได้ไกลกว่าความคิดแคบๆนั้น
คุณเริ่มถามคำถามเชิงปรัชญาอย่างลึกซึ้งเช่น ‘ทำไมเราถึงมาที่นี่’, ‘จุดประสงค์ของการดำรงอยู่ของเราคืออะไร’ คุณกลายเป็นผู้แสวงหาความจริงและความรู้”

ในเมื่อคุณเปลี่ยน ซึ่งเปลี่ยนในที่นี้ อาจจะเป็น ภาพลักษณ์ บุคลิกลักษณะของคุณ อย่างการแต่งตัว การแสดงออกที่เปลี่ยนไป สภาวะความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากเดิม คุณเห็นตัวเองเปลี่ยน ซึ่งไม่ใช่คุณคนเดิม ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกภายในลึกๆ ของคุณ ช่างมีความสุขจัง คุณจะมีคำถามกับตัวเองเพื่อต้องการสำรวจกับตัวเองว่าโดยแท้จรงแล้วคุณต้องการอะไรกันแน่ ทำไมคุณต้องทำสิ่งนี้ทั้งที่ชิวิตคุณแทบไม่มีประสบการณ์นี้เลย
หลากหลายคำถามที่จะเข้ามาให้คุณคิดและต้องหาคำตอบให้กับตัวคุณ ซึ่งอยู่ที่คุณอนุญาตตัวคุณเองเพื่อที่จะให้ตัวเองลองออกจากกรอบชีวิตการเป็นอยู่ และเป็นการเปิดเส้นทางการเดินทางที่เดินทางพร้อมการตื่นรู้ของจิตวิญญาณจากคุณเอง

3.มีความหยั่งรู้ (Intuition) มากขึ้น
“Another sign, according to Richardson, is having newly heightened intuition or new intuitive abilities showing up. They were always there, buried beneath the layers of your ego, and now that you’ve awakened, you feel much more in tune with yourself.”
“อีกสัญญาณหนึ่งตามที่ Richardson กล่าวคือมีสัญชาตญาณที่เพิ่มสูงขึ้นหรือสัญชาตญาณใหม่ที่สามารถปรากฏขึ้น พวกเขาอยู่ที่นั่นเสมอ ซึ่งได้ฝังอยู่ใต้ของอัตตาของคุณ และตอนนี้เมื่อคุณตื่นรู้ขึ้น คุณรู้สึกสอดคล้องกับตัวเองมากขึ้น”

การหยั่งรู้เป็นการรับรู้ของร่างกายอีกแบหนึ่งที่ให้คำตอบแก่เราได้ด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาจากส่วนลึกข้างในโดยไม่ต้องคิดและหาเหตุผล เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติการตื่นรู้ของจิตวิญญาณ คุณเคยมีประสบการณ์นี้มั๊ย ที่พบกันครั้งแรกแล้วรู้สึกชอบคนนั้นทันที การหยั่งรู้ในอีกมุมมองหนึ่งอาจจะมาจากประสบการณ์ของคุณเองที่เกิดขึ้นซ้ำซ้ำ จนทำให้คุณใตร่ตรองถึงสิ่งที่จะเกิดมากขึ้น และเข้าใจอย่างแน่นอนโดยที่คุณแทบจะไม่ต้องคิดและหาเหตุผลมาร่วมด้วยในครั้งต่อไป

4.รู้สึกตัวเองมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Emphathy) และมีความเข้าอกเข้าใจ(Compassion)ผู้อื่นมากกว่าเดิม
“Empathy is your ability to feel what others are feeling, to try on a new perspective. Compassion is an action that is inspired by your empathy. It literally means “to suffer with.” People who are in the process of a spiritual awakening begin to notice both a more all-encompassing empathy and a more action-oriented compassion that feels normal, natural, and fulfilling.”
“ความเห็นอกเห็นใจ(Emphathy) คือความสามารถของคุณที่จะรู้สึกในสิ่งที่คนอื่นรู้สึก ลองในอีกมุมมองหนึ่ง ความเข้าอกเข้าใจ(Compassion) คือการกระทำที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความเห็นอกเห็นใจของคุณ มีความหมายตรงตัวว่า “รู้สึกทุกข์ใจไปพร้อมกับ” ผู้คนที่อยู่ในกระบวนการตื่นรู้ทางจิตวิญญาณเริ่มสังเกตเห็นครบของความเห็นอกเห็นใจที่ครอบคลุมมากขึ้นและเน้นความเข้าอกเข้าใจมากขึ้น ซึ่งรู้สึกเป็นปกติ เป็นธรรมชาติและเติมเต็ม”

จากมุมมอง และทัศนคติของคุณ จากที่เคยมองผู้คนที่คุณตัดสินพวกเขาในทัศนคติค่อนข้างลบ แต่ในครั้งนี้คุณมีความรู้สึกที่เปลี่ยนไป คุณมองพวกเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ และเข้าอกเข้าใจ ในเส้นทางชีวิตของผู้คน อะไรที่คุณไม่ชอบคุณเริ่มเปิดใจรับรู้ เพื่อที่จะทำความเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คุณเริ่มเข้าใจว่าเพื่อนมนุษย์ เราต่างมีความชอบพอที่แตกต่างกัน มีเป้าหมายที่แตกต่างกัน นั่นคือความปรารถนาอย่างแรงกล้าก็ย่อมแตกต่างกัน คุณจะไม่ตัดสินพวกเขาแต่คุณ พร้อมที่จะเห็นใจและเข้าใจ หรือช่วยแก้ไข แนะนำ หากคุณสามารถที่จะช่วยบรรเทาความทุกข์ นั้นได้

5.คุณรู้สึกเชื่อมต่อกับธรรมชาติ (Connected with nature)
“While you may feel less connected to your friends at family at first, you will feel more connected to nature, Kaiser and Richardson agree. From plants to animals to the world as a whole, you will sense your interconnectedness to it all, and it may be quite moving.”
“ในขณะที่คุณอาจรู้สึกติดต่อกับเพื่อนๆ ครอบครัวน้อยลงในตอนแรก แต่คุณจะรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติมากขึ้น Kaiser and Richardson เห็นด้วย จากพืช สู่สัตว์ สู่โลกโดยรวม คุณจะสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงของคุณกับทุกสิ่ง และมันอาจจะค่อนข้างเกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนไหว”

มนุษย์เราเชื่อมต่อซึ่งกันและกันเป็นมาช้านาน ที่มาหลากหลายรูปแบบ การเชื่อมต่ออาจจะมาผ่านเสียง การมองเห็น รับรู้กลิ่น ลิ้มรส การเคลื่อนไหว โดยเหล่านี้มากระทบความรู้สึกของคุณ การตื่นขึ้นของจิตวิญญาณเช่นกัน จะเชื่อมต่อคุณผ่านรูปแบบเหล่านี้
คุณจะสัมผัสความเป็นจิตวิญญาณ ผ่านการรับรู้และสังเกต วงจรของธรรมชาติ เช่น คุณได้ยินเสียงคลื่นจากทะเล เสียงน้ำตก เสียงสัตว์ร้อง มนุษย์พยายามสร้างความสัมพันธ์กับสัตว์ต่างๆ เพื่อเชื่อมต่อกับธรรมชาติและความเป็นอยู่ของสัตว์ เพื่อต้องการเข้าใจธรรมชาติและการอยู่ร่วมกัน หากคุณจะเริ่มเข้าใจกลไกการเคลื่อนไหวของธรรมชาติ คุณจะเริ่มเข้าใจตัวตนที่เราขึ้นชื่อว่า “มนุษย์”

สัญญาณทั้ง 5 ของการตื่นรู้ของความเป็นจิตวิญญาณที่กล่าวมาในบทความนี้เป็นสัญญาณที่เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตประจำวันของคุณเอง ยังมีหลายหลายสัญญาณที่คุณจะได้พบและสัมผัส อยู่ที่ประสบการณ์ที่คุณได้เผชิญและที่สำคัญตัวคุณเท่านั้นที่จะเป็นคนตัดสินว่า คุณจะอนุญาตให้ตัวเองสัมผัสถึงการตื่นรู้ของความเป็นจิตวิญญาณ เชื่อว่าการเข้าไปสัมผัสการตื่นขึ้นของจิตวิญญาณ จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อปรับโหมดตัวเองให้อยู่ ในส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ แต่เมื่อมองไปในความเป็นจริงในยุคสมัยปัจจุบัน สิ่งที่กดทับความเป็นตัวตนของคุณอย่างแท้จริง คือความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ดีหากคุณใช้ในทางที่เป็นประโยชน์และพอเหมาะ แต่เทคโนโลยีทำให้การเดินทางของการตื่นรู้ของความเป็นจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ ล่าช้าไปเรื่อยๆ เช่นกัน
Writer: Better Call Nika
Comments