วิวัฒนาการของพลังงานที่ให้คำนิยามว่า "พลังงานความเป็นเพศชาย"
(The evolution of energy is defined as masculine energy)
วิถีของความเป็นชายที่มีแนวโน้มและสัมพันธ์กับคำนิยามที่ว่า Masculine Energy หรือ พลังงานความเป็นเพศชาย ที่พลังงานนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะอนุญาตให้เอามาใช้ในช่วงจังหวะไหนของชีวิตคุณ สัญลักษ์ของความเป็นชายสืบทอดกันมา จากเรื่องเล่าในตำนานและธรรมชาติจัดสรร อย่างเทพในตำนาน ไปสู่บรรพบุรุษยุคแรก รุ่นสู่รุ่นถึงลูกหลาน และยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน
แหล่งที่มาพลังงานความเป็นเพศชายนั้น ซึมซับจากธรรมชาติคัดสรรของความเป็นชายและพลังงานความรู้สึก ที่เป็นเอกลักษณ์และคุณลักษณะที่คล้ายๆกัน เวลาและธรรมชาติคัดสรรทำให้ยุคปัจจุบันได้แบ่งกลุ่มของความเป็นชายหรืออาจจะเรียกได้ว่า ความเข้มข้นของพลังงานความเป็นเพศชาย(Masculine Energy) ในหลากลหลายรูปแบบที่ปรากฏขึ้น ประกอบกับเราเสพสื่อหรือที่เรียกว่าคอนเทนต์ (Content)ที่เต็มไปด้วยการนำเสนอที่หลากหลาย เป็นการเปิดมุมมองและต่อยอดขยายความคำนิยามที่ว่า “Masculine Energy หรือ พลังงานความเป็นเพศชาย”
ผู้เขียนได้แรงบันดาลใจจากการอ่านมาหลายๆ บทความและหนังสือ เช่น หนังสือชื่อ “Gods in Everyman”จะขอแปลเป็นภาษาไทยว่า “เทพพระเจ้าอยู่ในตัวผู้ชายทุกคน” ผู้แต่งชื่อ Jean Shinoda Bolen,MD ที่อธิบายเรื่องราวของ ลักษณะความเป็นผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ หากมองต่างในอีกมุมมองของ “พลังงาน”พลังงานเสมือนแรงขับเคลื่อนความรู้สึกและแสดงออกผ่านการเคลื่อนไหวของร่างกายเรา สัญลักษณ์ความเป็นชายเป็นตัวแทนของพลังงานความเป็นเพศชาย (Masculine Energy)ที่แสดงถึงอำนาจ ความเข้มแข็ง ความแข็งแกร่ง การบรรลุเป้าหมาย รวมทั้งการคิดที่เป็นแนวตรรกะ วิชาการ
วิวัฒนาการของพลังงานที่ให้นิยามว่า พลังงานความเป็นเพศชาย (The evolution of energy is defined as masculine energy) ในความหมายของวิวัฒนาการ ได้ให้ความหมายว่า
“วิวัฒนาการ (evolution) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับลักษณะ ทางพันธุกรรมในประชากรของสิ่งมีชีวิต ที่สืบทอดจากรุ่นบรรพบุรุษ (ancestor) สู่รุ่นลูกหลาน (descendent) ต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด”
การสืบทอดความเป็นชายก็เช่นกันที่สืบทอดจากบรรพบุรุษถ่ายทอดสู่รุ่นลูกหลานเรื่อยมา มนุษย์ทั่วทุกมุมโลกต่างมีเรื่องเล่าขาน ตำนานต่างๆ ที่บางตำนานอาจจะเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ ซึ่งก็แล้วแต่มุมมองของส่วนบุคคลที่แตกต่างออกไปอยู่ที่ว่าเราจะสร้างการจินตนาการ และความเป็นไปได้
ตำนานเป็นสิ่งที่ บรรพบุรุษเราสมัยยุคแรก ต้องการค้นหาความจริงแต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เหมือนสมัยยุคปัจจุบัน ซึ่งยุคสมัยก่อนหน้าที่อาศัยความเชื่อและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง วัฒธรรม ศาสนาเป็นเครื่องหล่อมหลอมให้คนรุ่นหลังถือปฏิบัติและศรัทธา
ตำนานที่เล่าขานทำให้เกิดคุณลักษณะต่างๆเกิดขึ้น ในตำนานหากนึกถึงอำนาจ พละกำลัง ที่จะปกป้องอาณาเขตที่ต้องสู้รบกับฝ่ายศัตร ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นหน้าที่ของเหล่าพละกำลังผู้ชายมากกว่าผู้หญิง จึงให้ลักษณะความเป็นผู้ชายที่แสดงถึง ความเป็นผู้นำ ความแข็งแกร่ง อำนาจ จนกลายเป็นต้นแบบของความเป็นชาย
“As archetypal figures, the gods are like anything generic: they describe the basic structure of this part of a man (or of a woman, for god archetypes are often active woman’s psyches as well) this basic structure is “clothed” or “fleshed out” or detailed” by the individual man, whose uniqueness is shaped by family, class, nationality, religion, life experiences, and the time in which he lives, his physical appearance, and intelligence. Yet you can still recognize him as following a particular archetypal pattern, as resembling a particular god.
“ในฐานะที่เป็นบุคคลตามแบบฉบับ เทพเจ้าเป็นเหมือนสิ่งทั่วไป: พวกเขาอธิบายโครงสร้างพื้นฐานของส่วนนี้ของผู้ชาย (หรือของผู้หญิงเพราะต้นแบบของพระเจ้ามักจะเป็นจิตใจของผู้หญิงที่กระฉับกระเฉงเช่นกัน) โครงสร้างพื้นฐานนี้คือ “เสื้อผ้า” หรือ “เนื้อหนัง” “หรือ รายละเอียด” โดยบุคคลซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หล่อหลอมโดยครอบครัว ชนชั้น สัญชาติ ศาสนา ประสบการณ์ชีวิต และเวลาที่เขาอาศัยอยู่ ลักษณะทางกายภาพ และสติปัญญาของเขา กระนั้น คุณยังคงสามารถจำเขาได้ตามรูปแบบตามแบบฉบับที่คล้ายคลึงกันของเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง”
อ้างอิงจาก : หนังสือชิ่อ “Gods in Everyman”จะขอแปลเป็นภาษาไทยว่า “เทพพระเจ้าอยู่ในตัวผู้ชายทุกคน” ผู้แต่งชื่อ Jean Shinoda Bolen, MD หน้าที่ 7
หากมองย้อนกลับไปในสมัยก่อน ในยุคแรกๆ อย่าง ตำนานกรีก ได้เล่าขานถึงตำนานเทพก่อนที่มาจุติเป็นมนุษย์สิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาตร์ แต่ในเมื่อเป็นความเชื่อ ประกอบกับการสร้างวัฒนธรรม ศาสนา และธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนสนับสนุนทำให้เกิดความยึดมั่นและถือปฏิบัติ ซึ่งถ้าหากฎิบัติตามเราจะปลอดภัยที่เรียกว่า Safe Zone(พื้นที่ปลอดภัย,ในยุคสมัยนั้น)
ในแนวความคิดอีกด้านตรงข้าม มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เรามีความรู้สึก เราสื่อสาร เราสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ผ่านความคิดและไอเดียของตัวเอง เมื่อสถานการณ์เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในระหว่างช่วงการเวลาความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ จนทำให้เกิดการเอนเอียง กลุ่มคนเริ่มแบ่งแยกเพื่อต้องการค้นพบความเป็นตัวเอง มีบางข้อความหนึ่งได้ให้ใจความที่น่าสนใจว่า
“To feel authentic means to be free to develop traits and potentials that are innate predispositions. When we are accepted and allowed to be genuine, it’s possible to have self-esteem and authenticity together. This develops only if we are encouraged rather than disheartened by the reactions of significant others to us, when we are spontaneous and truthful, or when we are absorbed in whatever give us joy. From childhood on, first our family and then our culture are the mirrors in which we see ourselves as acceptable or not. When we need to conform in order to be acceptable, we may end up wearing a false face and playing and empty role if who we are inside and what is expected of us are far apart.”
“ความรู้สึกที่แท้จริงหมายถึงการมีอิสระในการพัฒนาคุณลักษณะและศักยภาพที่เป็นความจูงใจโดยกำเนิด เมื่อเราได้รับการยอมรับและปล่อยให้เป็นของแท้ ก็เป็นไปได้ที่จะมีความนับถือตนเองและความถูกต้องร่วมกัน สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราได้รับกำลังใจมากกว่าท้อแท้จากปฏิกิริยาของผู้อื่นที่ว่าสำคัญต่อเรา เมื่อเราเป็นตัวเองอย่างธรรมชาติและเป็นความจริง หรือเมื่อเราดื่มด่ำอยู่กับสิ่งที่ให้ความสุขแก่เรา ตั้งแต่วัยเด็ก ครอบครัวเป็นจุดแรกของเรา และจากนั้นวัฒนธรรมของเราเป็นกระจกสะท้อนที่เราเห็นตัวเองว่ายอมรับได้หรือไม่ เมื่อเราต้องปฏิบัติตามเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ เราอาจจบลงด้วยการสวมบทบาทปลอมๆ และเล่นบทบาทที่ว่างเปล่า หากเราเป็นใครอยู่ข้างในและสิ่งที่เป็นตัวตนของเรานั้นอยู่ห่างไกลจากกัน”
อ้างอิงจาก : หนังสือชิ่อ “Gods in Everyman”จะขอแปลเป็นภาษาไทยว่า “เทพพระเจ้าอยู่ในตัวผู้ชายทุกคน” ผู้แต่งชื่อ Jean Shinoda Bolen, MD หน้าที่ 3
หากเขียนเป็นชาร์ตโดยรวมที่แสดงถึงวิวัฒนาการ ของพลังงานความเป็นเพศชาย (Masculine Energy) คือ
หากเขียนเป็นชาร์ตโดยรวมที่แสดงถึงวิวัฒนาการ ของพลังงานความเป็นเพศชาย (Masculine Energy) คือ
เริ่มจากควบคุม (Control) ที่จงใจแสดงถึงอำนาจ การแข่งขัน ความกล้าหาญ ที่ได้รับอิทธิพลมาจาก การสู้รบ การปกครอง การสร้างวัฒนธรรมและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
การทำซ้ำ (Repetitive) การปฏิบัติสืบต่อกันมา เพื่อถ่ายทอดจากบรรพบุรุษหนึ่งไปอีกรุ่นต่อๆไป ทำให้กลายเป็นต้นแบบที่ต้องทำตามและยอมรับกลุ่มคนส่วนใหญ่ และรู้สึกปลอดภัย
ทางเลือก (Options) จะเป็นจุดเปลี่ยนทำให้เกิดแยกย่อยของความเป็นชาย คือ
การที่ยังคงยึดมั่นในความเป็นแบบแผนเดิม (Pattern)โดยยังคงถือปฏิบัติในแบบเดิมที่สืบทอดกันมาไม่เปลี่ยนแปลง ที่เต็มไปด้วยพลังานความเป็นเพศชาย(Masculine Energy) โดยส่วนใหญ่
สร้างสิ่งใหม่ (Create) เป็นจุดเริ่มต้นให้ค้นหาตัวเอง โดยอาจจะสร้างวัฒนธรรมใหม่ สังคมใหม่ที่เปลี่ยนไปจากความเป็นชายที่เป็นแบบแผนโดยมีการผสมมสานพลังงานความเป็นเพศชาย (Masculine Energy)และพลังงานความเป็นเพศหญิง(Feminine Energy)เข้าด้วยกัน
การทำซ้ำ(Competitive) บวกกับการรวมตัวของกลุ่มคนที่ต้องการแบ่งแยกความเป็นชายเพื่อค้นหาตนเอง ทำให้เกิดไลฟ์สไตล์ แบบต่างๆ ผู้ชายเริ่มเรียนรู้ความรู้สึกของผู้หญิง ผู้หญิงเริ่มต้องการความเท่าเทียมกันกับผู้ชาย ต้องการความสำเร็จและบรรลุเป้าหมาย จึงต้องเรียนรู้ความรู้สึกความเป็นผู้ชายคือพลังงานความเป็นเพศชาย(Masculine Energy) เมื่อความเหลื่อมล้ำทางความรู้สึกเท่าเทียมกัน มนุษย์เริ่มค้นหาตัวเองด้วยการแสดงตัวตนที่แท้จริงให้ชาวโลกได้รับรู้
โดยมนุษย์เราได้สร้างสรรค์วัฒนธรรมใหม่ ที่เป็นองค์ประกอบสนับสนุนคือ โลกโซเชียล สร้างสภาพแวดล้อมใหม่ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ เปิดโอกาสให้มนุษย์แสดงตัวตนของตัวเอง อย่างไรก็ตามหากเหนือการควมคุม สมมติฐานคือสิ่งที่เรากำลังอยากจะค้นพบตัวเอง ทำให้เราเข้าใจตัวตนของตัวเอง เหมือนเรากลับไปเป็นดั่งเทพเจ้า(God) หรือเทพธิดา(Goddess) ในตำนาน ในยุคสมัยที่ิวิทยาศาตร์ต้องการพิสูจน์ที่เรามองเห็นทางกายภาพ? ไม่แน่โลกของเราอาจจะกลายเป็นผู้มีทอิทธิพลในบุคลิกลักษณะต่างๆ ที่ผสมผสานในการใช้พลังขับเคลื่อนความรู้สึกตัวเองที่นิยามว่า Masculine Energy หรือพลังงานความเป็นเพศชาย และ Feminine Energy หรือ พลังงานความเป็นเพศหญิง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและรสนิยมของตัวเอง โดยที่ไม่มีคำว่าผิดหรือถูก แต่อยู่ที่การยอมรับมาแทนที่
Writer : Better Call Nika
อ้างอิงจากเว็บไซต์ : https://devdutt.com/articles/masculine-and-feminine-gods/
หนังสือจาก : “Gods in Everyman” ผู้แต่งชื่อ Jean Shinoda Bolen, MD หน้า 3-39
หนังสือจาก : “Healing The Masculine Soul” ผู้แต่ง Dordon Dalbey หน้า 1-11
Comments